นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า หนี้ครัวเรือนไทยล่าสุดในไตรมาส 4 ปี 65 อยู่ที่ 86.9% ต่อจีดีพี คิดเป็น 15.09 ล้านล้านบาท แม้ภาพรวมจะปรับลดลงแต่รายไตรมาสปรับเพิ่มขึ้น 3.5% ส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ขยายตัวสูง โดยเฉพาะบัตรกดเงินสด และบัตรในห้างสรรพสินค้า ทำให้ต้องมาดูแลเรื่องนี้ให้รอบคอบพยายามทำให้หนี้ลดลง โดยเรื่องปัญหาหนี้เป็นความท้าทายของทุกรัฐบาล มองว่าอาจยังไม่ระเบิดเวลาในตอนนี้ แต่หนี้เป็นปัญหาต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจเพราะกระทบการใช้จ่ายครัวเรือนคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
นอกจากนี้ตัวเลขหนี้ด้อยคุณภาพหรือเอ็นพีแอลล่าสุดอยู่ที่ 2.62% ต่อสินเชื่อรวม ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนหน้า แต่สินเชื่อรถยนต์มีเอ็นพีแอลหรือหนี้เสียปรับเพิ่มขึ้นบ้าง และสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ หรือค้างชำระแต่ไม่เกิน 3 เดือนเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 64 จาก 11.1% มาอยู่ที่ขยายตัว 13.7% ในไตรมาส 3 ปี 65 ขณะที่จากผลกระทบในช่วงโควิดทำให้สินเชื่อส่วนบุคคลมีหนี้เสียสูงที่สุด 7.6 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนต้องอาศัยความร่วมมือกัน ช่วยลูกหนี้ปรับโครงสร้างหนี้และสร้างวินัยทางการเงิน จากปัญหาหนี้ที่มีตอนนี้มาจากช่วงโควิดที่คนต้องกู้หนี้ยืมสินเข้ามา จนทำให้หนี้สูงเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ฉุดรั้งการเติบโตของประเทศ ดังนั้นธนาคาร นอนแบงก์ ผู้ให้บริการทางการเงินและภาครัฐต้องเร่งแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หนี้ครัวเรือนปรับลดลง และต้องให้ความรู้กับประชาชนว่า ก่อนก่อหนี้ต้องดูความสามารถชำระหนี้ของตนเอง ใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ไม่สร้างหนี้เพิ่มขึ้น ก่อนจะซื้อสินค้าอะไรดูว่ามีความจำเป็นหรือไม่ ซึ่งภาคธุรกิจเองก็ไม่อยากจะกล่าวถึงมากนัก เพราะเป็นเรื่องการตลาด เช่นการผ่อน 0% เป็นต้น
“หนี้ครัวเรือนแนวโน้มไตรมาสแรกปีนี้ เป็นเรื่องที่กังวลเป็นระเบิดเวลา แม้ที่ผ่านมาจะแก้ไขอย่างต่อเนื่อง จากฝั่งรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ร่วมทำงานต่อเนื่อง แต่หนี้ครัวเรือนพุ่งขึ้นมาแล้ว ยากจะให้ลดลงในเวลาอันสั้น และต้องใช้เวลา รวมถึงได้รับผลกระทบจากโควิดด้วย กลุ่มคนระดับบุคคลต้องเข้าใจกำลังการใช้จ่ายของตนเอง ความต้องการการซื้อสินค้า อะไรไม่จำเป็นต้องลดละเลิกบ้าง เพื่อจัดการหนี้เดิมให้เรียบร้อยก่อนสร้างหนี้ใหม่”
นายดนุชา กล่าวว่า ภาวะสังคมไทยในไตรมาสแรกปี 66 พบว่า การจ้างงานปรับเพิ่มขึ้น การว่างงานลดลง จำนวนผู้มีงานทำมี 39.6 ล้านคน ขยายตัว 2.4% ทั้งในและนอกภาคเกษตร ชั่วโมงการทำงานเข้าสู่ภาวะปกติ มีผู้ทำงานล่วงเวลาเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 12.4% ขณะที่ผู้เสมือนว่างงานมีจำนวน 3.4 ล้านคน ลดลง 11.3% โดยการว่างงานปรับตัวดีขึ้น ลดลงมาอยู่ที่ 1.05% หรือมีผู้ว่างงาน 4.2 แสนคน ลดลงทั้งผู้ว่างงานที่เคยและไม่เคยทำงามาก่อน รวมถึงผู้ว่างงานระยะยาวคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ขณะที่ประเด็นแรงงานที่ติดตามให้ความสำคัญ คือการขาดแคลนแรงงานด้านดิจิทัลและไอที จากการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลของภาคธุรกิจและการแพร่ระบาดโควิด ซึ่งปัจจัยเร่งให้ภาคธุรกิจปรับตัวโดยนำเทคโนโลยีมาใช้ ทำให้ความต้องการแรงงานสายงานไอที 2-3 หมื่นตำแหน่งต่อปี ทำให้สถาบันการศึกษาและภาคเอกชน อาจต้องปรับหลักสูตรต่างๆรับกับความต้องการแรงงาน จบมาทำซอฟท์แวร์ โปรแกรมเมอร์ และเทคโนโลยีที่เข้ามา โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมใช้เทคโนโลยีชั้นสูง
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มค่าแรงหาเสียงในช่วงที่ผ่านมา มีทั้งเชิงบวกและเชิงลบ ในแง่แรงงาน และเอกชนที่มีต้นทุนเพิ่ม ซึ่งอาจทำให้ส่งผลต่อราคาสินค้า ต้องพิจารณาให้รอบคอบและอาจมีผลต่อการลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงดูภาระที่จะเกิดขึ้นกับภาคเอกชน ซึ่งหากปรับเพิ่มเงินเดือนปริญญาตรี ฝั่งภาครัฐก็ต้องมาปรับโครงสร้างใหม่ ส่งผลต่อภาระงบประมาณประจำเพิ่มขึ้น ต้องพิจารณารอบคอบในส่วนของค่าแรง
“ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ คนที่เข้ามาต้องมีความสามารถอยู่แล้ว สื่อมวลชนและภาคธุรกิจต่างจะพิจาณาและรู้กันอยู่ แต่ในส่วนภาครัฐ ในเรื่องเศรษฐกิจก็ต้องเดินหน้าต่อนโยบายหลายตัวที่ทำไว้ และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน พัฒนาคุณภาพชีวิต ก็ต้องทำต่อ เดินหน้าต่อ คงไม่สามารถตอบได้ว่าใครเป็นอย่างไร”